ศูนย์ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศปอส.) ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย (ศสอ.) และวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข (วส.) จัดเสวนา Safety Talk ครั้งที่ 1 เรื่อง Workplace Health and Safety in the University เพื่อเป็นการสื่อสารเชิงรุก ให้นิสิต บุคลากรและผู้สนใจทราบถึงปัญหา ความสําคัญของการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยในการเรียน การสอน การวิจัย การทํางานในมหาวิทยาลัย และสามารถนําประสบการณ์จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกรณีศึกษาของสถาบันการศึกษาในต่างประเทศ สามารถนํามาประยุกต์ใช้ในบริบทของส่วนงานของตนได้ต่อไป กิจกรรมจัดขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน 2565 เวลา 13.00 – 16.00 น. โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้บริหาร และบุคลากรในมหาวิทยาลัย นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจ นี้โดยท่านสามารถลงทะเบียนเข่าร่วมกิจกรรมได้ทาง https://bit.ly/3NdAALF
ขณะนี้สังคมออนไลน์ได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับการสกัดทองคำจากแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ด้วยวิธีการต่างๆ ประกอบกับเป็นช่วงที่ราคาทองที่สูงขึ้นมาก ทำให้คลิปดังกล่าวได้รับความนิยมในการรับชมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะวิธีการสกัดทองคำจากแผงวงจรโทรศัพท์มือถือ โดยอาจจะใช้การเผาหรือหลอม ใช้กรดกัดกร่อน ใช้สารประกอบไซยาไนด์ ซึ่งวิธีเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดอันตรายทั้งต่อตนเองและสิ่งแวดล้อม เช่น การเผาชิ้นส่วนพลาสติกแผงวงจรที่มีส่วนผสมของสารหน่วงไฟ (โบรมีน) เป็นองค์ประกอบ อาจทำให้เกิดอนุพันธ์ของสารกลุ่มไดออกซินและฟิวแรนที่เกิดจากการเผาไหม้ ซึ่งถือเป็นสารตกค้างที่ยาวนานปนเปื้อนในอากาศได้ ส่วนกรดที่ใช้เป็นสารกัดกร่อน ต้องมีการจัดการที่เหมาะสมเพราะอาจมีการปนเปื้อนโลหะหนักชนิดต่างๆ เช่นเดียวกันกับสารไซยาไนด์ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และจะส่งผลกระทบด้านสุขภาพ ซึ่งกระบวนการสกัดทองคำดังกล่าวล้วนก่อให้เกิดสารอันตรายประเภทต่างๆ เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่าแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ มีโลหะมีค่าหลายชนิด เช่น ทองแดง ทองคำขาว เงิน เหล็ก นิกเกิล รวมถึงอลูมิเนียม เป็นต้น จากรายงานแผงวงจรทั่วไป (ทุกประเภท) เฉลี่ยมีทองคำเป็นองค์ประกอบอยู่ 0.004–0.02% หากมีการสกัดโดยวิธีที่เหมาะสมจะทำให้เกิดการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน คุณสมบัติที่โดดเด่นของทองคำจะเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าได้ดี มีความยืดหยุ่น และไม่เกิดสนิม จึงมีการนำทองคำมาใช้เป็นส่วนประกอบของแผงวงจรในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์แทบทุกชนิด เนื่องจากทองคำมีความต้านทานการกัดกร่อนและการนำไฟฟ้าสูง (รองลงมาจากทองแดงและเงิน) ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้มีการใช้ประโยชน์จากทองคำบริสุทธิ์น้อยลง จากเดิมใช้ทองคำบริสุทธิ์ทั้งชิ้นเปลี่ยนเป็นการชุบเคลือบผิววัสดุที่หนาบางแตกต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์
แม้ว่าในปัจจุบันมีกฎหมายหลายฉบับที่แสดงให้เห็นอันตรายจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ และมีความพยายามจากหลายภาคส่วนเพื่อจะแก้ไขปัญหานี้ แต่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะสำหรับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ครอบคลุมตั้งแต่ผลิตถึงการกำจัด ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างการร่างกฎหมายโดยผู้ผลิตต้องมีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น การสร้างจิตสำนึกจากหลายๆโครงการผ่านการสนับสนุนจากทางหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมควบคุมมลพิษ ค่ายโทรศัพท์มือถือ รวมถึงโครงการจุฬารักษ์โลก โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเข้าสู่ปีที่ 12 ที่ดำเนินการรับบริจาคโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริม เพื่อนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี ลดผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดการที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งการบริจาคโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตจำนวน 1 เครื่อง โครงการจุฬาฯรักษ์โลกและTES (ผู้รับกำจัดและรีไซเคิลอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) จะเปลี่ยนเป็นเงินบริจาค 10 บาท เข้า“กองทุนภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งจุฬาฯ(CU Cancer Immunotherapy Fund)” สำหรับสนับสนุนการวิจัยด้านการรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันของคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การบริจาคโทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากจะเป็นการช่วยเหลืองานวิจัยแล้ว ยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการนำขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี ระหว่างรอให้ประเทศไทยมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อย่างเป็นรูปธรรม
ศสอ-HSM (ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย)
📢 ขอเชิญชวนทุกท่านเข้าร่วมงานสัมมนา การขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน
✨จากกรณีศึกษา 3 เรื่องที่น่าสนใจ✨
🧩 เถ้าจากโรงไฟฟ้าขยะ
🧩 เม็ดพลาสติกรีไซเคิล
🧩 ขยะอิเล็กทรอนิกส์
🕘 ในวันที่ 15 ธันวาคม 2564 ผ่านแอพพลิเคชั่น ZOOM
📃 สมัครได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปโดยแสกน QR CODE จากโปสเตอร์ หรือ https://docs.google.com/…/1FAIpQLScOchKbuhIY5a…/viewform
📞 ติดต่อสอบถามผ่านเพจ facebook WASTE Talk สนใจสมัครเลย
ด้วยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ร่วมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) และศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย (ศสอ.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินโครงการ Greening the Scrap Metal Value Chain through Promotion of BAT/BEP to Reduce U-POPs Releases from Recycling Facilities
จากกรณีเหตุเพลิงไหม้โรงงานพลาสติกที่ย่านบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเวลาหลายชั่วโมงตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 5 กรกฎาคม ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 7 กรกฎาคม
ซึ่งเป็นเหตุให้ถังสารเคมีในโรงงานที่มีอยู่พันกว่าตันบางส่วนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงก่อให้เกิดผลกระทบจากมลพิษและมลสารที่ฟุ้งกระจายออกไปเป็นวงกว้าง หลายกิโลเมตร ในเรื่องนี้นักวิชาการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้จัดเสวนาออนไลน์แบบเร่งด่วนขึ้น เมื่อวันที่ 9 กรกฏาคมที่ผ่านมา ในหัวข้อ “เปิดมุมมองวิศวกรรมเพื่อป้องกันและรับมืออุบัติเหตุสารเคมีในอนาคต” โดยมีผู้ร่วมเสวนาจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการ ซึ่งในโอกาสนี้ รองศาสตราจารย์ ดร. สุธา ขาวเธียร ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย ได้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นถึงแนวทางในการรับมือกับปัญหาดังกล่าวในประเด็นเกี่ยวกับ “งานที่ต้องทำภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจการระงับเหตุเพลิงไหม้โรงงานพลาสติก ตั้งแต่การคัดแยก บำบัดและกำจัดของเสียอันตรายอย่างถูกวิธี” โดยสรุปได้ดังนี้
“เหตุการณ์ดังกล่าวในขณะเกิดเหตุเพลิงไหม้ มีทีมงานจากหลากหลายหน่วยงานเข้าร่วมระงับเหตุเมื่อเหตุการณ์สงบและเริ่มคลี่คลายลง ยังคงมีกลุ่มคนอีกหลายหน่วยงานที่จะต้องเข้ามาจัดการกับปัญหาด้านมลพิษทั้งในที่เกิดเหตุและบริเวณโดยรอบ ยกตัวอย่างเช่น โฟมที่ใช้ในการดับเพลิงสารเคมีที่รั่วไหลปนเปื้อนจำนวนมาก ยังไม่รวมถึงวัสดุอื่นๆ ที่ถูกนำมาใช้ในการดับเพลิงซึ่งวัสดุเหล่านี้เป็นของเสียอันตราย จะต้องได้รับการคัดแยก นำไปบำบัด และกำจัดอย่างถูกวิธี
นอกจากนี้ ในการเฝ้าระวังเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นจะต้องมีการบูรณาการความร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการ อาทิ การบูรณาการด้านข้อมูลที่มีการจัดทำและจัดเก็บแยกในแต่ละหน่วยงานโดยต้องมีการแบ่งปันข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในกรณีมีเหตุการณ์สารเคมีหรือสารอันตรายเกิดการรั่วไหลขึ้น รวมทั้ง ต้องมีการ Monitor เรื่องความปลอดภัยซึ่งจะต้องทำอย่างจริงจังรวมถึงการจัดทำทำเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Registration) หรือ PRTR โดยโจทย์ที่สำคัญและจำเป็นที่จะต้องดำเนินการอีกด้านคือ ข้อกำหนดกฏหมายซึ่งบางครั้งการปรับปรุงและแก้ไขกฎหมาย ต้องใช้ระยะเวลายาวนานและมักไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
เมื่อวันจันทร์ที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา เวลา 13.30-15.45 น. สภาวิศวกรแห่งประเทศไทย นำทีมโดย ศาสตราจารย์ ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร ได้จัดเสวนาแบบไลฟ์สด “Why วิศวะ?” ในหัวข้อ “วิศวกรยุคดิสรัปชันกับทางรอดของโลก”
ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยมีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี จากรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมของกรมควบคุมมลพิษ คาดการณ์ว่าในปี 2563 ประเทศไทยมีปริมาณของเสียอันตรายจากชุมชนเกิดขึ้นประมาณ 656,651 ตัน (เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ร้อยละ 1.6) โดยเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ 428,113 ตัน (คิดเป็นร้อยละ 65 ของของเสียอันตรายทั้งหมด) แต่เนื่องด้วยการจัดการไม่มีระบบการจัดการที่เหมาะสมตั้งแต่บ้านเรือนจนถึงปลายทาง ส่งผลให้ปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม